Monday, March 30, 2015

ท่องเที่ยว ญี่ปุ่น, Day 2 ลุยแหลก แดกปลาไหล วัดน้ำใส ... เกียวโตตตต (Round3)


(ความซวยบังเกิด blog ที่เขียนเอาไว้หายไป : เฉพาะวันนี้ด้วย ต้องกลับมานั่งนึก นั่งมโนเอง ว่า วันนี้ไปทำอะไรบ้าง เดี๋ยวค่อยๆ ปะติดปะต่อไปเรื่อยๆแล้วกัน ... )

ตะลุยเดินเที่ยว กันเถอะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ .... (รูปเกริ่นๆ)

อ่า ... เมื่อคืนนอนดึก แล้วเช้านี้ก็ต้องตื่นแต่เช้า ออกเดินทางจากโรงแรมมุ่งหน้าไป วัดน้ำใส (Kiyomizu-dera Temple) ออกจากโรงแรม ตั้งแต่เช้าตรู่เลย มุ่งหน้าไปที่ สถานีรอไฟ Shin-Osaka ต่อ รถไฟชินคันเซ็น ออกซิ่งไปที่ เกียวโตโล้ด ระหว่างยืนรอรถไฟ ครีมกับผมก็แวะซื้อข้าวกล่องขึ้นมาหม่ำเติมพลังกันก่อน

รถไฟอย่างโล่งเลย สงสัยเพราะว่าเช้าอยู่ ... สบ๊ายสบาย

หน้าตาตอนเพิ่งตื่น ดูมีแรงเน่อะ


มาถึงที่เกียวโตเรา 2 คนก็เดินทางมาต่อ ที่ สถานีรถไฟ Kiyomizu-Gojo อากาศวันนี้เย็นๆกำลังสบายเลยอ่ะ ออกจากสถานีเราก็เจอแม่น้ำส๊วยสวย แวะถ่ายรูปกันพักใหญ่เลย ระหว่างถ่ายรูปอยู่ ก็มีคุณลุงชาวญี่ปุ่นคนนึงมา พูดๆโบกไม้โบกมือ กึ่งๆบอกว่า "มามา คุณตาช่วยถ่ายรูปให้" ... เลยได้รูปคู่สวยๆ กลับมาหลายรูปเลย เอาหล่ะออกเดินไป วัดน้ำใสกันดีกว่า ...






ระหว่างทาง ก็มีวิวสวยๆ ให้แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ... เราสองคนสนุกสนานมากมายกับการถ่ายรูปริมทาง ระยะทางจากสถานีไปถึงวัดน้ำใส เดินทางไปประมาณ 1 km เดินชิวๆ สนุกๆ (ถึงจะแค่ 1km แต่ขึ้นเขานะครับ)




ในที่สุดเราก็มาถึงวัดน้ำใสแล้ว ว ว ว ว ว ว ... ที่วัดน้ำใสมีหลายชั้นมากเลย ต้องค่อยๆเดิน ก่อนมาที่นี่ผมก็ไม่ค่อยได้ทำการบ้าน ไม่ได้รู้เลยว่าต้องไปไหนบ้าง (รู้แต่จุดเด่นๆ ที่ต้องแวะถ่ายรูป) ที่วัดน้ำใส สวยมาก มีเด็กๆเดินมาทัศนศึกษาเยอะแยะเหมือนกัน ผมว่า ที่ญี่ปุ่นเค้ารักษาทุกอย่างไว้ได้อย่างดีเยี่ยมเลย สะอาดและสวย

ประวัติ
วัดคิโยมิซึเดระ ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นยุคเฮอัน ประมาณปี ค.ศ. 798 สิ่งก่อสร้างที่เราได้เห็นอยู่ทุกวันนี้ ล้วนสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1633 ตามคำสั่งของ โตกุกาว่า เอมิซึ (Tokugawa Iemitsu) สิ่งก่อสร้างทั้งหมดไม่ได้ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียวในการก่อสร้าง วัดนี้ตั้งชื่อตามน้ำตกในบริเวณวัด แปลตรงตัวจากคำว่า คิโยมิซึ แปลว่า น้ำใส

ตรงห้องโถงกลางมีระเบียงขนาดใหญ่ที่รองรับด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่เช่นกัน จากระเบียงที่ยื่นออกมาจากหุบเขาทำให้สามารถมองเห็นวิวของเมืองได้อย่างสวยงาม การสร้างระเบียงขนาดใหญ่นี้เป็นรูปแบบการสร้างที่นิยมในช่วงยุค เอโดะ เพื่อรองรับกับนักเดินทางที่หลั่งไหลเข้ามา

สมัยเอโดะมีวลียอดฮิตของญี่ปุ่น “โดดระเบียงที่คิโยมิซึ” (to jump off the stage at Kiyomizu) ซึ่งเทียบเท่ากับสำนวนอังกฤษว่า “การตัดสินใจกระทันหัน” (to take the plunge) วลีนี้อ้างอิงมาจากการกระทำจริงในสมัขเอโดะ ถ้าใครโดดจากระเบียงสูง 13 เมตรที่วัดคิโยมิซึ แล้วรอดมาได้ ความปารถนาจะเป็นจริง จากสถิติที่เคยบันทึกไว้ 234 ครั้งในยุคเอโดะ พบว่า 85.4% รอดชีวิตจากการโดดครั้งนี้ แต่ในปัจจุบันนี้ ห้ามทดลองโดดอีกแล้ว

ใต้ห้องโถงของ วัดคิโยมิซึเดระ มีน้ำตกสามสายไหลลงมาที่สระน้ำ น้ำในสระที่ว่าก็คือ น้ำใส ที่เชื่อกันว่า ดื่มไปแล้วจะทำให้สมหวังในสิ่งที่ปารถนาไว้

ในบริเวณวัดยังประกอบไปด้วยศาลเจ้าต่างๆมากมายเช่น ศาลเจ้าจินชู (Jinshu Shrine) ที่สร้างไว้สำหรับบูชาเทพเจ้าแห่งคู่และความรัก ในศาลเจ้านี้จะมีหินแห่งความรักคู่หนึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 6 เมตร 20 ฟุต ถ้าคนไม่มีคู่ สามารถหลับตาเดินจากหินก้อนหนึ่ง ไปยังหินอีกก้อนหนึ่งได้ ก็จะเจอคู่แท้ คู่รักบางคู่ก็มาด้วยกันแล้วก็มีการบอกทางกันระหว่างที่อีกคนปิดตาก็มี เพื่อความรักที่ราบรื่นมากขึ้น

และในปี 2007 วัดคิโยมิซึเดระ ก็ได้เข้ารอบ 21 สถานที่สุดท้ายที่ได้คัดเลือกเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (เครดิต : http://goo.gl/9RCZAN)



แวะถ่ายรูปวิวสวยๆ กันเพลิน เดินไปเรื่อยๆไม่มีเหนื่อยเลย วิวก็สวย ซากุระก็สวย แต่ ซากุระยังมีไม่มากเท่าไหร่ แถวๆนี้ยังไม่เต็มที่

แวะถ่ายรูปหน้าวัดน้ำใสสักหน่อย ก่อนจะเดินขึ้นไปที่ศาลเจ้า


ในที่สุด ครีมกับผมก็มาถึง จุดถ่ายรูป ดีมากเลยอ่ะ จุดนี้ ส๊วยสวย เดินถ่ายรูปจนเหนื่อยเลย ... แอบเสียดายตอนที่กลับมาถึงเมืองไทย เพิ่งรู้ว่าลืมไปดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ (น้ำสามสายศักดิ์สิทธิ์ ดื่มเพื่อเป็นศิริมงคล เสียด๊าย เสียดาย

ระหว่างทางกลับได้มีโอกาสแวะที่ไหว้ศาลเจ้าจิชู (地主神社) ที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโอคุนินุ ฌิโนะ มิโกโตะ เทพเจ้าแห่งความรักที่คอยช่วยผูกดวงให้กับคู่รัก หนุ่มๆสาวๆจูงมือขึ้นไปเป็นคู่ๆขึ้นไป ด้านบน มีหิน 2 ก้อนเค้าว่ากันว่า ถ้าหลับตาเดินจากก้อนนึงไปแตะอีกก้อนนึงได้ จะสมหวังเรื่องความรัก (ยากกกกกกกก น่าดูเลยแหละ)



วิว มุม ยอด ฮิต ... ต้องจัดมาก่อนสักหนึ่งรูป

เกร็ดความรู้ ***
วัดคิโยมิสุแห่งนี้มีความเชื่อและวิธีการเสี่ยงทายต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้นมีวิธีเสี่ยงทายอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากค่ะ อ่านแล้วก็ตกใจว่าใครเป็นคนคิดกันนะ คิดไปด้ายยย!!! ความเชื่อนั้นมาจากสำนวนเก่าแก่นี้ค่ะ 「清水の舞台から飛ぶ降りる」 แปลได้ว่า “กระโดดลงมาจากฐานระเบียงวัดคิโยมิสุ!!” ความเชื่อนี้มีมาแต่สมัยเอโดะกล่าวกันว่า หากผู้ใดกระโดดลงไปจากฐานระเบียงวัดคิโยมิสุแล้วรอดชีวิต ความปรารถนาจะสมหวังค่ะ …… =__=;;; อื้อหืออ ถึงขนาดต้องเสี่ยงชีวิตเสี่ยงทายเลยทีเดียว…คุณผู้อ่านอาจคิดว่า “บ้าน่า! ใครมันจะไปทำกัน” แต่…มีคนทำจริงค่ะ! จากการสำรวจมีการบันทึกคดีชาวเอโดะที่มากระโดดที่นี่ถึง 234 รายค่ะ!!!
เครดิต : http://www.marumura.com/talkative/?id=4854




ครีมกล่าวว่า "ที่วัดน้ำใสครั้งแรกที่เห็น อึ้งเลย นี่หรือที่เราอยากมา ทำไมมันดูแห้งแล้ง ต่างจากที่คิดไว้เลย ซากุระยังไม่บาน"

กินติม ปากเป็นแบบนี้เลย ย ย ย ย อ่ะจ๊าก
หลังจากถ่ายรูปเพลินๆ เดินลงจากเขาวัดน้ำใสแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปที่ศาล Fushimi Inari Taisha ที่มีเสาแดงเยอะๆ ๆ เค้าเรียกกันว่า "ศาลเจ้าเสาแดงหมื่นต้น" ... การเดินทางไปเราเลือกนั่งรถไฟไปกัน กะว่าจะลงที่สถานี Inari แต่ผมเองแหละที่ขึ้นรถผิดดันไปขึ้นรถด่วน "ไม่จอดจ้า" สุดท้ายก็เลยไปหลายสถานีเลย ต้องรอรถแล้วนั่งกลับอีก ... ((หลงอีกแล่ะ))


เราเดินผ่านศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha ไปก่อนเพื่อหาของกินกัน ผมเลือกร้าน Nezameya (祢ざめ家) ที่มีชื่อเสียงมานานกว่า 450 ปี เดินออกมาจากศาลเจ้า (หันหลังให้ศาลเจ้า) ชิดขวาตามแนวร้านขายของที่ระลึก ตรงมาเรื่อยๆจะถึงสี่แยก แล้วก็จะเจอร้านเลยตรงหัวมุม หน้าร้านจะมีคุณลุงย่างปลาไหลกลิ่นหอมฟุ้ง เมนูเด็ดคือข้าวหน้าปลา ข้าวหน้าปลาไหลที่นี่เด็ดมาก ปลาไหลเนื้อข๊าวขาว ... อร่อยสุดยอด แต่ครีมดูไม่ปลื้มหนังปลาไหลเท่าไหร่ สงสัย "มันจะมันไป๊"

ครีม "หิวมาก จากที่ไม่เคยชอบกินปลาไหล  แต่วันนี้เห็นแล้วน่ากินมากกกกก ต้องลองซะแล้วกินหมดชามเลย ย ย ย ย ย ย ..."

นี่คือข้าวหน้าปลาไหลที่สั่งมาก ก ก ก มัน หวาน อร่อยมาก ... ผมหล่ะช๊อบชอบ

ประวัติ

ปี 965 ช่วงต้นสมัยเฮอัน จักรพรรดิ์มุราคามิ ได้บัญชาให้คนนำส่งสารนำส่งข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆให้กับเทพเจ้าของญี่ปุ่น ข้อความเหล่านี้เริ่มแรกมีอยู่ใน 16 ศาลเจ้าของญี่ปุ่น รวมทั้งที่ศาลเจ้าอินาริด้วย สัญลักษณ์ของผู้นำศาลที่อินาริก็คือสุนัขจิ้งจอก ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งธัญพืช ในศาสนาชินโต

ต่อมาในปี 1589 โตโยมิ ฮิเดโยชิ (Toyomi Hideyoshi) ได้บริจาคประตูโทริอิ ขนาดใหญ่ วางไว้ที่ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ

บริษัทต่างๆของญี่ปุ่นนิยมบริจาคโทริกันเพื่อความเป็นสิริมงคล จึงทำให้มีประตูโทริอิมากมาย เรียงรายจนถึงยอดเขา

และตั้งแต่ปี 1871 – 1946 ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ ได้ถูกกำหนดให้เป็นศาลเจ้าที่เป็นลับดับขั้นที่ 1 (First Rank) ในศาสนาชินโต และเป็นศาลเจ้าที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ เครดิต : http://goo.gl/5yvLBH



ครีม : "วัดเสาแดง  เสาแดงเยอะแยะไปหมดเลย จะถ่ายรูปกับเสาไหนก่อนดีนะ ตั้งใจไว้ว่าจะถ่ายให้ครบทุกต้นเลย 55555"



ที่ศาลเจ้าเสาแดงมีแต่เสาแดงจริงๆ ... แดงไปหมดเลย ระหว่างทางเดิน ต้องบอกว่าช่วงแรกๆคนเยอะมาก เวลาจะถ่ายรูปต้องกะเวลาดีดี เอาที่คนไม่มี หรือไม่ก็เดินเข้าไปลึกๆหน่อย คนจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ทำให้มีมุมถ่ายรูปได้เยอะแยะเลย 

เดินไปเรื่อยๆ ยังมีโอกาสได้ เจอน้องสาวชาวญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโนด้วยอ่ะ ครีมรีบวิ่งดุ๊กๆเข้าไปขอถ่ายรูปเลย น้องเค้าก็ใจดีให้ถ่ายด้วย ... เราเดินที่นี่กันพักใหญ่เลย เดินไปไกลอยู่เหมือนกัน แล้วก็เดินกลับกัน ไปที่เที่ยวที่ต่อไปกันเถอะ


พี่เดินมาไกลเหลือเกิน ...​เพลียแล้วนะจ๊ะ 


กินเข้าไปเยอะๆ เลย อิอิอิ กิน กิน กิน
ขากลับมาเวลายังเหลืออยู่ และวันนี้เสื้อครีม มีขนติดตลอดเวลา ผมเลยตัดสินใจเดินเล่นที่ เกียวโตอีกนิดนึง เพื่อหาที่ถูกระดาษกาวเอาขนที่ติดเสื้อออก ... เดินๆไปก็เจอร้านเหมือน ไดโซะโชคดี๊ดี เจอที่ถูเอาขนออกด้วย ซื้อเสร็จยืนถูขนที่หน้าร้านเลย

ครีมปลาบปลื้มมาก ก ก ก ก ...

ครีม : "พี่กอล์ฟเห็นครีมกังวลเดินปัดขนที่เสื้ออยู่ตลอดเวลา เลยตามหาร้านไดโซะให้ พอได้ลูกกลิ้งแล้วตาวาวขึ้นมาทันที  ขนจะหายวั๊บไปหมดแล้ว เย้ๆๆ  ขอบคุณพี่กอล์ฟม๊ากกกกกก คิดจะกำจัดขนเรียกใช้บริการพี่กอล์ฟไม่ผิดหวังจิงๆ"

แวะถ่ายรูปกับ เกียวโต Tower หน่อย


เอาหล่ะได้เวลาขึ้นรถไฟแล้ว จะกลับโอซาก้า แวะซื้อขนมที่สถานีรถไฟหน่อย จะได้รองท้องก่อนกลับไปหาอะไรหม่ำๆที่ โอซาก้า กลับมาถึงโอซาก้า ก็เดินเล่นกันที่ห้างกลางตัวเมือง ก่อนจะแวะซื้อยานิดนึง เพราะว่าครีมปวดหัว ต้องอาศัย  Google Translate อีกแล้ว ววว ... อืม สรุปก็ได้ยามาแก้ปวดหัวให้ครีมได้ อย่างสวยงาม

ขนมอร่อยๆ หวานๆ ที่ซื้อมาหม่ำเล่นๆ ... จริงๆถ้าได้น้ำชาอุ่นๆจะเด็ดมาก


ก่อนเข้าไปที่โรงแรม เราแวะทานข้าวแกงกระหรี่กัน (เดินกันไกลมากกกกกกก)  ร้านนี้พูดอังกฤษไม่ได้เลย สั่งอะไรไปไม่รู้อ่ะ ... รู้แต่ครีมอยากกินที่มีหมูและไข่แต่สิ่งที่ได้มา คือข้าวราดน้ำแกงกะหรี่ สรุปสั่งไปสั่งมา ได้ แกงกระหรี่กับมันบดมาจานนึง อีกจานก็ไม่ค่อยอร่อยยยย อะรายก้านว่ะเนี๊ยะ ... กลับโรงแรมไปอาบน้ำออนเซ็นแล้ว นอนพัก ลุ้นว่าพรุ่งนี้จะไปไหนต่อดีกว่า 

เย้ ...​วันนี้สนุกชะมัด จะหลงอีกไหมนะ พรุ่งนี้





tag: Osaka, Kiyomizu-dera, Fushimi Inari Taisha, Kyoto, Japan, ญี่ปุ่น, โอซาก้า, เกียวโต, Trip



No comments:

Post a Comment